ที่มาของคำว่า “Font”
หลายๆ คนอาจสงสัยว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้ บางคนอาจเข้าใจมาตลอดว่า font คือ แบบของตัวอักษร(Typeface) ถ้าอยากหายสงสัยต้องไปศึกษาที่มาของมันครับ “font” มาจากคำว่า “fount” ซึ่งแปลว่า “สิ่งที่ถูกหลอม” ในสมัยก่อน การจะพิมพ์ตัวหนังสือลงไปบนอะไรสักอย่างจะต้องใช้ “ตัวพิมพ์” ซึ่งมักจะสร้างมาจากโลหะที่เอามาหลอมลงในแม่พิมพ์ ซึ่งหมายความว่า หากเราอยากได้ตัวหนา ตัวกว้าง ตัวเอียง หรือแม้แต่ตัวขนาดใหญ่ขึ้น เราจำเป็นจะต้องสร้าง “ตัวพิมพ์” ขึ้นมาใหม่ เพื่อมารองรับตัวอักษรแบบนั้นๆ โดยเฉพาะ และนี่เอง ที่ทำให้เราเรียก “รูปแบบ” ของตัวอักษรที่แตกต่างกันว่า “font” แต่ในปัจจุบัน ซึ่งเปลี่ยนจากยุคของโลหะมาเป็นยุค digital ทำให้ขนาดของตัวอักษรนั้นสามารถเพิ่มหรือลดได้โดยง่าย นิยามของคำว่า “font” จึงเปลี่ยนไปเล็กน้อย เหลือแค่ความต่างกันในด้านของ ความหนา ความกว้าง และ ความเอียง เท่านั้น
Typography แปลว่า การพิมพ์, ตัวพิมพ์, วิชาทำตัวพิมพ์
Typograpy หมายถึงการออกแบบและการใช้งานตัวอักษรเพื่อการสื่อสาร ซึ่งมีจุดเริ่มต้นมานับแต่ที่กูเตนเบิร์กได้เริ่มใช้ในงานการพิมพ์ในระบบเลตเตอร์เพรสมาก่อน แต่งานไทโพกราฟี่นั้น มีรากฐานการพัฒนามาจากงานเขียนตัวอักษรแบบคัดลายมือเป็นรูปอักขระ ดังนั้นขอบข่ายของงานและความหมายจึงมีความครอบคลุมไปถึงทุกสิ่งทุกอย่าง นับแต่การเขียนรูปอักขระด้วยมือหรือการออกแบบตัวอักษร ไปจนถึงงานการพิมพ์ด้วยระบบดิจิตัลในหน้าเว็บไซต์อีกด้วย อีกทั้งยังครอบคลุมไปถึงภาระงานของนักออกแบบที่เป็นผู้ออกแบบสร้างสรรค์ตัวอักษร การจัดตัวอักษรทุกรูปแบบทุกส่วนที่เกี่ยวข้องในงา่นที่ออกแบบด้วยนั่นเอง Typography จึงเป็นการจัดวางแบบตัวพิมพ์ (Typefaces) ให้เหมาะสมกับพื้นที่และองค์ประกอบทางการพิมพ์ที่ใช้ในงานออกแบบทั้งหมดนั่นเอง
พูดกันอย่างมีหลักการนิดนึง การออกแบบตัวพิมพ์และฟอนต์เป็นศาสตร์แขนงหนึ่งที่มีชื่อเรียกว่า Typography บางขณะอาจเรียกได้ว่าเป็น “ภาษาภาพ” หรือ visual-language ซึ่งกรณีนี้ถ้ามองในส่วนตัวอักษรบนหน้าหนังสือแล้ว ก็แทบจะคาบเกี่ยวกันอย่างแยกไม่ออกกับ verbal language (ที่แปลเป็นไทยได้ว่า ‘วัจนภาษา’ หรือการสื่อสารด้วยถ้อยคำ) เพราะฟอนต์ที่เป็น “ภาษาภาพ” ทำหน้าที่สื่อสาร “ภาษาถ้อยคำ” อีกที ในที่นี้จะขอพูดเฉพาะเรื่องฟอนต์สำหรับสื่อสิ่งพิมพ์ประเภทหนังสือ (พ็อกเก็ตบุ๊คและแมกกาซีน) โดยไม่พูดถึงงานออกแบบนิเทศศิลป์อื่นๆ อย่างโปสเตอร์หรือใบประกาศโฆษณา แต่แค่สองประเภทนี้หน้าที่ของฟอนต์ก็แตกต่างหลากหลายแล้วฟอนต์ในงานหนังสือมีสองส่วนที่เราเห็นกันได้ชัดๆ อย่างหนึ่งคือ “เนื้อใน” ส่วนอีกอย่างคือ “หน้าปก” หากเทียบกันแล้ว ในส่วนหน้าปกอาจเป็นจุดที่เห็นได้ชัดเจนกว่า เป็น “ประกาศโฆษณา” กลายๆ ของหนังสือแต่ละเล่มว่า ‘น่าจะ’ เป็นไปในทิศทางใด เกี่ยวกับอะไร นักออกแบบที่ชาญฉลาดจะสามารถทำให้ฟอนต์บนหน้าปกและการออกแบบโดยรวมถึงเนื้อใน “พูดแทนหนังสือทั้งเล่มได้” โดยการรักษาสมดุลระหว่างการสื่อสารถึงผู้อ่านด้วยภาพและด้วยถ้อยคำที่ใช้แต่นอกจากหน้าที่ในการพูดแทนหนังสือทั้งเล่มแล้วศาสตร์การใช้ฟอนต์ยังมีความสำคัญอื่นๆ อีก เราจะขอยกตัวอย่างเหตุผลที่คุณควรใส่ใจสิ่งเหล่านี้สัก 5 ข้อ
1. ฟอนต์ “พูดได้” และเป็นสิ่งดึงดูดสายตาของผู้ชม
หากคุณเลือกฟอนต์ได้ถูกต้อง (ไม่ว่าจะบนปกหรือเนื้อใน) สิ่งนี้จะช่วยบอกอารมณ์ของหนังสือหรือแมกกาซีนแต่ละเล่มได้เป็นอย่างดี (กรณีแมกกาซีน เช่น ออกแบบเฮดให้โฉบเฉี่ยว ให้รู้ว่าเกี่ยวกับแฟชั่น หรือถ้าเป็นหนังสือเล่ม พอผู้ชมเห็นเอฟเฟ็กต์เลือดหรือกระสุนก็จะรู้ทันทีว่าเป็นเรื่องแนวสืบสวนลึกลับ) การส่ง “สาร” ให้ถึงผู้อ่านคือหน้าที่ของฟอนต์ (และนักออกแบบ) ที่ดี และการนำเสนอทิศทางที่ถูกต้องผ่านการออกแบบเหล่านี้ก็เป็นการแสดงถึงความประณีตของผู้ทำ อย่างน้อยในสายตาของลูกค้าที่สนใจหยิบดู ความใส่ใจเรื่องเล็กๆ เช่นนี้ก็ทำให้หนังสือเล่มนั้นชนะใจในเบื้องต้นแล้ว มีใครบ้างที่ไม่ชอบหนังสือสวยๆ ดังนั้นไม่ว่าจะบนปกหรือในเล่ม หากฟอนต์ออกมาลงตัวพอดิบพอดี ความน่าหยิบอ่านอมทวีคูณ
2. ฟอนต์คลีนๆ ช่วยแสดงความเป็นมิตรกับผู้อ่าน
2. ฟอนต์คลีนๆ ช่วยแสดงความเป็นมิตรกับผู้อ่าน
3. บางทีการเลือกใช้ฟอนต์ที่มีลำดับไม่เท่ากันก็มีความหมายซ่อนอยู่
4. ฟอนต์ที่มีความสม่ำเสมอจะทำให้ผู้อ่านไม่หงุดหงิด
ใครล่ะจะชอบหนังสือที่เปลี่ยนฟอนต์ไปเรื่อยๆ บทต่อบท แม้โดยข้อเท็จจริงแล้วการเปลี่ยนฟอนต์จะไม่มีผลในเชิงเนื้อหา (เพราะเรื่องไม่ได้เปลี่ยนไป) แต่กลับมีผลต่ออารมณ์อย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อแบบฟอนต์เปลี่ยน ผู้อ่านบางคนอาจรู้สึกถึงความ “ตัดขาด” ซึ่งถ้านั่นไม่ใช่เจตนาที่ต้องการแยกเนื้อหาบางอย่างออกจากเนื้อหาโดยรวม (เช่น ในนวนิยายที่มีการส่งจดหมาย หรือแสดงข้อความพิเศษที่ตัวละครไปพบ หรือสูตรอาหาร โน้ตย่อ ฯลฯ) การที่อยู่ๆ ผู้อ่านก็ถูกตัดขาดออกจากอารมณ์เดิมจะสร้างความหงุดหงิดขึ้นมา ไม่ว่าผู้อ่านนั้นๆ จะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม หากการเปลี่ยนฟอนต์เกิดขึ้นอย่างจงใจ ควรมีที่มาที่ไปอย่างการเจตนาจะตัดขาดอารมณ์ตรงนั้นจริงๆ และแบบฟอนต์ที่เปลี่ยนก็ไม่ควรใกล้เคียงกับของเดิมมาก (เพราะจะไม่เกิดความแตกต่าง) แต่ก็ไม่ควรแตกต่างชนิดฉีกออกไปเลย และถ้าจำเป็นต้องทำให้แตกต่าง ก็ไม่ควรมีมากกว่า 3 แบบในเล่มเดียวกัน (รวมตัวพื้นธรรมดา) มิเช่นนั้นผู้อ่านจะเริ่มรู้สึกรกหูรกตาและหงุดหงิดมากขึ้นไปอีก
กลับมาที่ข้อควรคำนึงในการเลือก/ออกแบบฟอนต์ แม้เราจะชักแม่น้ำแห่งเหตุและผลมาทั้งห้าสายแล้ว แต่สุดท้ายงานออกแบบฟอนต์ก็เป็นเรื่องของศิลปะ (กระทั่งการเลือกฟอนต์เนื้อในให้เหมาะกับเนื้อหาก็ยังอาจนับเป็นศิลปะได้) สิ่งสำคัญที่คนทำหนังสือทุกคนไม่ควรมองข้าม ก็คือการรักษาสมดุลระหว่างงานศิลปะกับงานสื่อสาร หรือระหว่าง verbal language และ visual language งานหลายชิ้น (งานปก) มุ่งเพียงสื่อสารด้วยภาษาโดยไม่คำนึงถึงการสื่อสารด้วยภาพ (ความยาวของประโยคมากเกินไป การเรียงวรรคไม่เหมาะสม) ในขณะที่บางงานกลับเคร่งครัดกับการออกแบบจนส่งผลถึงสาร กระทั่งบังคับทิศทางของสระเหนือ-ใต้ตัวอักษรและวรรณยุกต์เพื่อให้สอดคล้องกับงานออกแบบ แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบใด การไม่รักษาสมดุลระหว่างสองสิ่งนี้ย่อมไม่ใช่การออกแบบที่ดี และถ้าหากนักออกแบบสามารถรักษาสมดุลของสองสิ่งนี้ได้ การส่งสารย่อมเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
“ขยับเชิง [อักษร] นิด ความรู้สึกเปลี่ยน” คงมิใช่คำกล่าวที่เกินเลยแต่อย่างใด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น